วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

First aid for Broken heart

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยอกหัก(First aid for Broken heart) 


“อกหัก” เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อย พบได้ตั้งแต่วัยที่เริ่มมีความรัก(อนุบาลถึงผู้สูงวัย) อุบัติการณ์พบได้บ่อยมาก ถึงมากที่สุด (ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็น) อาการและอาการแสดงที่พบ เป็นได้ตั้งแต่ เพิกเฉยไม่สนใจ โกรธ ซึมเศร้า ความคิดหมกมุ่น/กลับไปกลับมา ขอต่อรองคืนดี ประชดรักโดยใช้สารเสพติด(สุรา ฯลฯ) ทำร้ายตัวเอง หรือ อาจพบเป็นอาการทางกาย เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ปวดหัว รู้สึกแน่นหน้าอก ใจสั่น บางคนบอกว่ารู้สึกเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเหมือนไม่มีตัวตน ตัวลอย ไม่มีสติ ฯลฯ.....

“คุณเคยมีอาการแบบนี้กันบ้างมั้ย หรือเคยพบคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า”



ระยะของอาการอกหัก

ช๊อก/ปฏิเสธความจริง : ตัวชา เบลอ งง มักเกิดในช่วงแรกหลังถูกปฏิเสธ ถูกบอกเลิก อาจเป็นแค่เสี้ยวนาที หรืออาจเป็นอยู่ได้นานหลายวัน
 
โกรธ : เพราะ.(เธอ).คนเดียว ไม่มี..(เธอ) ฉันคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ ช่วงนี้ถ้าโกรธมาก แค้นมาก บางคนขาดสติถึงขนาดตามไปทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิต 

ซึมเศร้า : กลับมาโทษตัวเอง มองตัวเองแย่ ฉันคงไม่ดีพอ ฉันมันไม่มีค่า บางคนเป็นหนักถึงขั้นเห็นตัวเองไร้ค่า ไม่อยากมีชีวิต ตัดสินใจฆ่าตัวตาย 

ต่อรอง : ยื้อยุด ชักกะเย่อ ฉันขอโอกาส ฉันจะปรับปรุงตัวเอง ฉันยอมทุกอย่างแล้วเพียงแค่ได้มีเธอ 

ยอมรับ : มาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น กลับมารักตัวเอง ปล่อยความหลังในอดีต ให้อภัย ใจเป็นสุข

ระยะอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นไม่ครบทุกระยะ หรืออาจเกิดขึ้นกลับไปกลับมาก็ได้

ความรุนแรงของอาการขึ้นกับ
  • ระดับความรักที่มีให้ รัก(เขา)มาก(แต่รักตัวเองน้อย) ก็เจ็บมาก 
  • ความคาดหวัง หวังมากก็เจ็บมาก 
  • ระยะเวลาที่ความรักก่อตัว (ความผูกพัน) ความทรงจำในอดีตมาก ย้อนกลับมาทำร้ายมาก 
  • สิ่งที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ เกิดปัญหาร้ายแรง(ทางความรู้สึกมาก) เห็นภาพบาดตาบาดใจ มือที่สาม โกหกหลอกลวง ทำร้ายร่างกาย ทำให้ท้องแล้วทิ้ง ฯลฯ แค้นมาก เจ็บมาก 
  • ความถี่ของการเกิดอาการ เกิดครั้งแรกภูมิต้านทานต่ำ เกิดซ้ำหลายครั้งเริ่มชินชา

ทำไมถึงรู้สึกเจ็บเมื่อโดนหักอก

รู้สึกเหมือนโดนทำร้าย (เห็นตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ) : ที่รู้สึกแบบนี้เพราะการโดนปฏิเสธ ก็เหมือนกับถูกทำลาย Self (เสีย Self  เสียหน้า เสียศักดิ์ศรี เหมือนตัวเองต่ำต้อย ไร้ตัวตน ไม่มีค่า ไม่มีราคา) ซึ่งทั้งหมดนี้มักเกิดจากความคิด การรับรู้การตีความ ของเราเอง (คิดเองเออเอง) และความคิดเหล่านี้ก็ยิ่งกลับมาทำร้ายเราซ้ำๆ
ความเป็นจริง มีเหตุผลล้านแปดที่ทำให้คนสองคนเลิกกัน ไม่ใช่เพราะเราไม่ดี

"อย่าตัดสินคุณค่าของตัวเองเพียงแค่เขาไม่รัก  เขาไม่ได้มีค่าพอที่จะมาตัดสินคุณค่าของชีวิตเรา"

รู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรไป : ช่วงที่มีความรัก รู้สึกมีความสุข(อย่างมาก สารความสุขหลั่งมาท่วมท้น)  มีคนรัก มีคนดูแล มีคนเอาใจ เวลาสิ่งเหล่านี้หายไปอาการก็เหมือนคนติดยาเสพติด มีอาการที่เรียกว่า"ลงแดงความรัก" จะตายให้ได้
ความเป็นจริง  ไม่มีใครตายเพราะอกหัก(ถ้าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย) และความเป็นจริง คุณไม่ได้เสียอะไรไป คุณยังหาความสุขได้จากอย่างอื่น การดูแลตัวเอง เอาใจ ตามใจตัวเอง ง่ายกว่าคาดหวังให้คนมาเอาใจ คุณยังดูแลตัวเองได้เหมือนเดิม 

"เราอาจเสียเวลา เสียเงิน เสียความรู้สึก เสียความบริสุทธิ์ เสีย...ฯลฯ......ไป แต่หลังจากนี้ทุกเวลา เงินทุกบาท ความรู้สึกทุกอย่าง ฯลฯ กลับมาเป็นของเรา เราจะไม่ยอมเสียให้ไปอีก"




“อกหัก” ก็เหมือนกับเกิดอุบัติเหตุ(ทางใจ) ทำให้เกิดบาดแผล(ทางใจ) อาจเป็นแค่แผลถลอก (เจ็บเล็กๆ) หรือบางคนก็อาจเป็นแผลฉกรรจ์ 

 
แผลทุกแผลมีวันหาย ถ้าดูแลให้ดี ซึ่งโดยปกติร่างกายมีกลไกในการสมานแผลของตัวเอง อาจใช้เวลาเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน (แผลโดยทั่วไปไม่ควรเจ็บนานเกิน 2 เดือน)


 "รักไม่ต้องการเวลา แต่เสียใจเพราะรักต้องการเวลานะคะ

"










วิธีการรักษาแผล(ใจ)เบื้องต้น

ล้างแผลให้สะอาด : ร้องไห้เสียให้พอ เก็บของที่จะทำให้คิดถึงความรัก(ที่ทำร้าย) ออกไปให้หมด ทั้งรูป จดหมาย เบอร์โทร facebook ฯลฯ

หายาดีๆมาทา : ออกไปหาสังคมอื่นๆที่ห่างหายไปนาน ครอบครัว(พ่อ แม่ พี่น้อง) เพื่อนๆ(ที่ยังรอคุณกลับไปร่วมก๊วน) พวกเขาพร้อมดูแลคุณเสมอ

หลีกเลี่ยงการไปถูกโดนแผลซ้ำๆ : บางคนถูกทำร้ายครั้งเดียวไม่พอ ยังพยายามติดต่อ เพื่อตอกย้ำความรู้สึกให้ตัวเองเจ็บซ้ำๆ แผลก็จะยิ่งหายช้า ทางที่ดี อย่าเพิ่งติดต่อในช่วงเวลารักษาแผลใจ
"ไม่มีใครทำร้ายเรา ได้เจ็บเท่า เราทำร้ายตัวเอง" หยุดดีดหนังสติกใส่ตัวเองได้แล้ว

ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง :
หาอะไรอร่อยๆกิน ออกกำลังกายบ้าง(ระบายความโกรธออกไป) นอนพักเพียงพอ ลุกขึ้นมาแต่งหน้า/ แต่งตัว ทำตัวเองให้ดูดี อย่าหนีไปใช้ยาเสพติด (มันจะทำให้คุณดูแย่จริงๆ)

หากิจกรรมทำืื : ช่วงที่เกิดอาการอกหัก มักรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้า ควรหากิจกรรม ฟังเพลง เล่นดนตรี เรียนวาดรูป ช้อปปิ้ง ให้เวลาเดินเร็วขึ้น

พักใจ : ใจที่บอบช้ำ ต้องการเวลาเยียวยา อย่าเพิ่งหาใครมาดามหัวใจ เพียงเพื่อไม่อยากเหงา หรือประชดรัก เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เจ็บมากยิ่งขึ้น


"เสียใจ แต่ไม่แคร์"

ข้อดีของการกลับมาเป็นโสด

มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องแบ่งอีกครึ่งชีวิตให้กับใคร กลับมารักตัวเองได้เต็มร้อย เอาใจตัวเองให้เต็มที่ ไม่ต้องคอยเอาใจใคร

มีโอกาสเต็มที่กับการได้เรียนรู้สิ่งๆใหม่ คนใหม่ๆ (คนมีคู่ไม่มีโอกาสนั้น) หาเพื่อนใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ ใช้ชีวิตนึงที่เกิดมาให้คุ้ม (แต่ไม่ใช่สำส่อนนะคะ)

มีเวลาดีๆ ที่จะใช้เวลาโสดๆ ฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง รักตัวเอง เป็นเพื่อนกับตัวเอง อนาคตเมื่อเจอกับความเหงาจะได้หัวเราะกับความเหงาได้อย่างบ้าคลั่ง ทุกคนเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว ทุกสิ่งต้องมีการพรากจากไม่จากเป็นก็จากตาย ฝึกอยู่กับตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้

เป็นโอกาสอันดี ที่จะได้กลับมาทบทวน มองตัวเอง ที่ผ่านมาเรามีข้อดี ไม่ดีตรงไหน (บางครั้งอาจได้จากเหตุผลของการบอกเลิกนั่นแหละ) แทนที่จะโทษตัวเอง เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส มาทบทวนความเป็นจริง เอ! เราเจ้าอารมณ์จริงรึเปล่า ? เราเห็นแก่ตัวหรอ ? เรามันดูไม่มีอนาคต ? และใช้โอกาสนี้หาทางแก้ไข เปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเองใหม่ (ให้คนเสียดายเล่นดีกว่า) 



"โสดให้คนเสียดาย  ดีกว่าเป็นของตายให้เขาทำร้ายเล่น" 

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

มีชีวิตเหลืออีก 1 วันทำอะไรดี


มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย 76 ปี คิดเป็นประมาณ 3900 สัปดาห์ 33,300 วัน (ยังเสียเวลาไปกับการนอนอีกถึง
1/3 ของเวลาทั้งหมด) ดังนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตจริงๆประมาณ 22,000 วัน เท่านั้นเอง



เคยคิดกันมั้ยว่า....เราใช้เวลาในแต่ละวันไปกับอะไรบ้าง

.....บางคนหมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดในอดีต

.....บางคนกลัวอนาคตที่ยังไม่มาถึง

.....บางคนฝันถึงอนาคตที่จะมีความสุขถ้า.......ฯลฯ (มีบ้าน มีรถ ได้แต่งงาน ลูกเรียนจบ หมดหนี้ ผ่อนบ้านหมด ฯลฯ)

                                     


มีการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ในเรื่องเล่าถึงประเทศ ประเทศหนึ่งที่มีนโยบายความมั่นคง มีกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” คือ เด็กทุกคนที่เกิดมาจะได้รับวัคซีนชนิดหนึ่ง วัคซีนนี้จะมีผลออกฤทธิ์ในอีก 20 ปีข้างหน้า (ซึ่งใน 1000 เข็ม จะออกฤทธ์เพียงเข็มเดียว โดยฉีดให้แบบสุ่ม) วัคซีนนี้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่เชื่อว่าจะช่วยป้องกันประเทศ เพราะวัคซีนที่ว่านี้จะออกฤทธิ์ให้คน คนนั้นตาย ซึ่งการออกฤทธิ์ดังกล่าวทำให้ประชากรทุกคนตระหนักว่าพวกเขามีชีวิตเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนตั้งใจใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตระหนักต่อ “คุณค่าของชีวิต” มากขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะได้รับสาส์นมรณะนี้หรือไม่ควรใช้เวลาในชีวิตให้มีค่า และมันจะมีความสำคัญมากขึ้นอีกใน 1 วันก่อนตาย เพราะก่อนหน้า 24 ชั่วโมงที่วัคซีนจะออกฤทธิ์จะมีเจ้าหน้าที่รัฐ มาบอกข่าวร้ายกับคุณว่า คุณมีเวลาชีวิตอีกแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น โดยจดหมายแจ้งตายนั้น เรียกว่า "อิคิงามิ"



คุณจะยังทำแบบเดิมอยู่มั้ย ถ้าคุณ(โชคดี)ได้มีโอกาสรู้ว่าคุณมีเวลาชีวิตอีก 1 วัน

.....คุณจะยังนั่งโกรธแค้น อิจฉา อาฆาต คนอื่นอยู่มั้ย

.....คุณจะมานั่งโทษตัวเอง ถึงเหตุการณ์ในอดีตอยู่หรือเปล่า

หรือคุณจะทำอะไรเมื่อเวลานั้นมาถึง

ในการ์ตูนเล่าถึงปฏิกิริยาของคนหลายคนหลังจากได้รับจดหมาย “อิคิงามิ” 



......บางคนยอมรับความตายที่เกิดขึ้น ใช้เวลา 1 วันไปกับสิ่งที่อยากทำในชีวิต ขอโทษกับความผิดพลาดที่ตนเคยทำ และจากไปอย่างสงบ

......บางคนปฏิเสธ(ความจริง) คิดว่าต้องมีการผิดพลาดเกิดขึ้น จดหมายนั้นไม่ใช่ของตน ใช้เวลา 1 วันไปกับการหาความจริง จากไปด้วยความสงสัย

......บางคนโกรธ ทำไมต้องเป็นฉัน ใช้เวลา 1 วันไปกับการแก้แค้น (ถ้าฉันตาย แกต้องตายด้วย ฉันไม่ยอมตายคนเดียวหรอก) จากไปด้วยความร่อนรุ่ม

......บางคนนั่งเศร้า เก็บตัว จนเวลาที่เหลือเพียง 1 วันหมดลง บางคนฆ่าตัวตายไปก่อนหนีความรู้สึกเศร้านั้น (ลดเวลาที่เหลือของชีวิตไปอีก)

คุณคิดว่าคุณจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงวันนั้นของคุณ

.....มีหมอมาแจ้งว่าคุณเป็นมะเร็ง, คุณติดเชื้อเอดส์ ,คุณต้องตัดขา หรือข่าวร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดได้ทุกเวลา 




คุณเตรียมมือรับกับมันดีแล้วแค่ไหน ....

เรามักไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิต เราจึงมักใช้ชีวิตกลืนไปกับสังคม ตั้งใจเรียน ทำงาน หาเงิน มีครอบครัว (ใช้ชีวิต เหมือนหนูถีบจักร) แก่งแย่ง อิจฉา แข่งขัน จนหลงลืมวัตถุประสงค์หลักของการมีชีวิต 


                                    

หลายคนมาพบฉันด้วยความโกรธ โกรธสามี โกรธลูก โกรธเจ้านาย เมื่อฉันโยนคำถามกลับไปว่า “ถ้าคุณรู้ว่าชีวิตจะเหลือเวลาอีกแค่ 1 วัน คุณจะทำอะไร“ ไม่มีสักคนที่จะตอบฉันว่า “จะโกรธจนตาย” หลายคนบอกว่าคงอยู่กับครอบครัวให้มีความสุข ทำสิ่งที่อยากทำ ไปทำบุญ ฉันเลยลองถามกลับไปว่า  “อ้าวแล้วเรื่องที่เขาทำให้คุณโกรธหละ” ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า " ช่างมันเถอะ ถึงเวลานั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ให้อภัยไปดีกว่า ทำตัวเองให้มีความสุขดีกว่า" 

สิ่งที่พวกเขาพูดกับฉันก็เหมือนเขาพูดกับตัวเองค่ะ   "ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา"

ความโกรธ ความน้อยใจ ความอิจฉา ความกังวล ฯลฯ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตเลย แล้วถ้าคุณไม่ตัดมันเสียวันนี้แล้วค้นหา และทำสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตคุณจริงๆก่อน คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ไว้ทำสิ่งนั้น 



อย่าประมาทกับความตาย  นะคะ มันมาทักทายคุณได้ทุกวินาทีค่ะ จะมีสักกี่คนที่จะ(โชคดี) รู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีอีกนานแค่ไหน 


“มาทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต กันนะคะ”

หมายเหตุ

Elizabeth Kluber Ross จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ผู้ที่ทำงานกับผู้ป่วยใกล้ตาย เขาพบว่าปฏิกิริยาของผู้ป่วยหลังเผชิญกับข่าวร้าย มีอยู่ 5 ระยะ คือ 



Shock/Denial : ตกใจ ปฏิเสธความจริง , Anger : โกรธ , Bargain : ต่อรอง , Depress : ซึมเศร้า , 
Accept : ยอมรับ ทั้ง 5 ระยะนี้ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องผ่าน ทุกระยะ และแต่ละคนก็อาจกลับไปกลับมาได้ เช่น จากโกรธ กลายเป็น เศร้า แล้วมาต่อรอง ลัวก็ยอมรับ หน้าที่ของแพทย์ และคนดูแลก็จะช่วยให้ผู้ป่วย เข้าสู่ระยะยอมรับได้เร็วที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตายอย่างสงบ

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตราบาป




คุณรู้ไหมว่าแต่ละวินาที..มีคนฆ่าตัวตายไปเท่าไหร่ 

.......องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน คิดเฉลี่ยมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ทุก 40 วินาที

คุณแน่ใจได้อย่างไร ว่าตัวคุณ หรือคนข้างตัวคุณจะไม่เป็นคนคนนั้น

......เพียงแค่กลัวว่า “ไม่อยากเป็นตราบาป ที่ต้องมาเจอจิตแพทย์”



ถ้าคุณเป็นโรคลมชักคุณอยากรักษากับหมอทั่วไป หมอกระดูก หมอผ่าตัด หรือหมออายุรกรรมประสาทโรคลมชัก

......ดังนั้นมันจึงเรื่องปกติ ถ้าจิตใจคุณไม่สบาย หมอที่จะดูแลคุณได้ดีที่สุดก็คือ จิตแพทย์


จากการศึกษาในอังกฤษ พบว่า 9 ใน 10 ของผู้ป่วยจิตเวชไปพบแพทย์ทั่วไป และความกลัวในตราบาปของโรคจิตเวชก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าไปพบจิตแพทย์

เมื่อมีคนแนะนำให้มาพบจิตแพทย์ หลายคนรู้สึกอาย รู้สึกไม่ดี ปฏิเสธข้อเสนอ คำแนะนำ (คิดว่าไม่หรอกฉันยังไม่ได้เป็นมากขนาดนั้น) กลัวสังคมรอบข้างมองไม่ดี รู้สึกเหมือนเป็นตราบาปในชีวิต (ภาษาอังกฤษอาจใช้ความรู้สึกแบบนี้ว่า stigma/มลทิน,ความอัปยศ) ซึ่งที่จริงคำว่า ตราบาป ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า sin ซึ่งหมายถึง ความรู้สึกผิดบาป ที่ฝังอยู่ในใจ




ความรู้สึกเหล่านี้ เหมือนเป็นกำแพงขนาดยักษ์ ที่ทำให้คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตไม่กล้ามาพบจิตแพทย์

โดยมักมีความคิด ความเชื่อ(ผิดๆ )ว่า 

  • มีแต่คนบ้าที่จะไปหาหมอโรคจิต (จิตแพทย์) 
  • อาการทางจิตเวช เป็นเรื่องของ จิตใจ นิสัย สันดาน ไม่ใช่โรค แก้นิสัยไม่ดีสิ อย่าไปคิดมาก(ง่ายๆ) 
  • ยาจิตเวชมีแต่กดประสาท กินแล้วง่วง กินแล้ว โง่ กินมากๆ เดี่ยวก็ติดยาหรอก 
  • มีแต่คนอ่อนแอ เท่านั้นที่จะไปพบจิตแพทย์ 
  • ไปหาหมอแล้ว บอกใครว่าไปพบจิตแพทย์ โดนมองว่าน่ารังเกียจ จะโดนเราทำร้ายรึเปล่า เหมือนคนสติไม่สมประกอบ ไม่ไปดีกว่า รักษาตัวเอง 
  • มันไปหาจิตแพทย์แล้ว อย่าไปยุ่งกับมันมาก เดี๋ยวก็เป็นบ้าตามมันหรอก 
  • หาจิตแพทย์ก็เท่านั้น เดี๋ยวโดนสะกดจิตหรอก 

                                              
ทำไมเราถึงรู้สึกและมีความเชื่อกันแบบนั้น

1.จากอาการของโรคเอง 

  • ปัญหาพฤติกรรมบางอย่าง เช่น สกปรก เดินเร่ร่อน แต่งกาย ใช้คำพูด หรือทำท่าแปลกๆ 
  • ก้าวร้าวหวาดระแวง ทำร้ายคนไม่เลือกหน้า ควบคุมตัวเองไม่ได้ 
  • แยกตัว ไม่สบตา ไม่คุยกับใคร 
  • อารมณ์แปรปรวน ขึ้นๆลงๆ คาดเดายาก 
                                                               

2. ทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์เอง 
  • แพทย์ทั่วไปหรือแม้แต่พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบางคน มีประสบการณ์ไม่ดีกับพฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช และมักขาดความรู้ ความเข้าใจที่ดีพอเกี่ยวกับการเกิดโรค อาการของโรค และการรักษา (จิตเวชเป็นเพียงแค่วิชาเล็กๆ เลยไม่ค่อยได้รับความสนใจในการเรียนมากเท่าไหร่) หลายคนยังมีความเชื่อว่าถ้ากินยาจิตเวชแล้วจะติดยา เลยแนะนำคนไข้ว่าอย่ากินยา ให้ปรับความคิด พฤติกรรมเอาเอง เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายขาดหรอก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด 

  • พอรู้ว่าเคยมีการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ก็คิดว่าอาการ(ทางกาย)ที่เป็น เป็นจากจิตใจ มองคนไข้ต่างจากคนไข้ทั่วไป 
3.ประกันที่ไม่ครอบคลุม 
  • เนื่องจากเชื่อว่าเป็นโรคที่เรื้อรัง รักษาไม่หาย ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง และมีผลกระทบต่อบริษัทระยะยาว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดหัวใจ การดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังแล้ว ค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยจิตเวชนั้นน้อยกว่ามาก 
  • ดูเป็นโรคที่ไม่มีผลการตรวจเลือด ผลเอกซเรย์ยืนยัน คนไข้อาจแกล้งป่วยเพื่อใช้ประกัน 

ความเป็นจริงเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช 

1.เหมือนกับโรคทางกาย(ที่คุ้นเคยทั่วไป)


  • มีทั้งโรคเรื้อรัง(เหมือนเบาหวาน ความดัน) และชั่วคราว (เหมือนภาวะติดเชื้อ อุบัติเหตุ  ไส้ติ่งแตก)
  • มีตั้งแต่ระดับเล็กน้อย(เหมือนเป็นหวัด ปวดหัว/อาจหายเองได้ ) จนถึงระดับรุนแรง (ต้องรับ   รักษาในโรงพยาบาล มีผลต่อชีวิตเหมือนเป็นมะเร็ง) 
  • การเกิดโรคเกิดจากทั้ง ชีวภาพ ( สมองทำงานผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ การได้รับสารบางชนิด การติดเชื้อ) ร่วมกับพฤติกรรมบางอย่าง(เหมือนกับพฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มสุรา) 
  • การรักษาผู้ป่วย ทำเหมือนกับโรคทั่วไป คือ วินิจฉัย หาสาเหตุ รักษาที่สาเหตุ ป้องกันการเกิดโรคซ้ำ ติดตามอาการ

2.อาการทางจิตเวช มีทั้งแบบที่รู้ตัว เจ้าตัวก็ทุกข์กับอาการมาก เหมือนผู้ป่วยที่มีอาการปวด                (แต่เป็นปวดที่ใจแทน) 



เวลาคุณปวด คุณเลือกที่จะกินยาแก้ปวด หรือ นั่งข่มจิตว่าไม่ปวด ดังนั้นการรักษาโดยการกินยาก็เหมือนเป็นยาแก้ปวดนั่นเอง

3.อาการบางอย่างเจ้าตัวไม่รู้ตัว เช่น เดินแก้ผ้าตามถนน หลงผิดคิดว่ามีคนมาปองร้าย อาการเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกับภาวะชักอย่างหนึ่ง(ไม่ใช่ชักเกร็ง กระตุก ที่คุ้นเคยกัน) ที่ออกมาเป็นปัญหาความคิด พฤติกรรม

                                    

ดังนั้นถ้าคุณ(เป็น)เห็นคนกำลังชักคุณอยากจะช่วยพวกเขาหรือปล่อยให้เขาเป็นอยู่แบบนั้น คนไข้ที่มีอาการเหล่านี้ก็ต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน 

4.มีผู้ป่วยจิตเวชเพียง 3% เท่านั้น ที่จะมีพฤติกรรมรุนแรง แต่จากสื่อต่างๆ แสดงอันตรายจากผู้ป่วยจิตเวช หรือมีข่าวอาชญากรรมที่ทำโดยผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งในความเป็นจริงมีคดีเพียงจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับคดีอาชญากรรมที่เกิดจากการกระทำของคนปกติทั่วไป




5.เนื่องจากโรคจิตเวชถูกมองเป็นตราบาปอยู่แล้ว น้อยมากที่จะแกล้งมีอาการจิตเวช ส่วนใหญ่มักแกล้งเป็นอาการทางกาย(ที่คุ้นเคย ได้รับความเห็นใจ ช่วยเหลือ )มากกว่า


สำหรับฉัน 

ฉันกลับรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของพวกเขามาก ที่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้น มาพบจิตแพทย์ ฉันมักจะมีความรู้สึกดีกับพวกเขาเสมอ ฉันเชื่อว่ากว่าที่พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามความรู้สึกกลัว ความรู้สึกอาย มาได้ต้องใช้พลังใจอย่างสูง ซึ่งลึกๆแล้วมักเกิดจาก ความรักในตัวของพวกเขาเอง ที่มีความเชื่อว่าเขาต้องดีขึ้น ไม่ยอมแพ้กับอะไรไปง่ายๆ




“ ผู้ป่วยจิตเวช ไม่ใช่คนบาป ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่ดี หรือทำอะไรผิด อย่าโยนตราบาปใส่พวกเขาเลย

เปิดตัว เปิดใจ ยอมรับ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆกันเถอะค่ะ ใครจะรู้วันนึงคุณหรือคนใกล้ตัว ก็จำเป็นต้องมาพบจิตแพทย์เหมือนกัน ”


http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1001

ความฉลาด(ทางอารมณ์)

“อย่าเป็นคนที่มุ่งหวังเพียงความสำเร็จ แต่จงมุ่งหวังความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า” 
 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์




ในปี ค.ศ. 1879 เด็กชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก เขาเติบโตมาพร้อมกับโรคความบกพร่องทางด้านการอ่านและเขียน (Dyslexia) คือ เขาอ่านและเขียนหนังสือได้ช้ากว่าเด็กที่เรียนชั้นเดียวกัน ทำให้เขากลายเป็นเด็กโง่ในสายตาครู เด็กชายคนนั้น คือ อัลเบิร์ต ไอส์ไตน์



เด็กหญิงคนหนึ่ง อ่านหนังสือไม่ออก แต่ใช้ความพยายามโดยการฟังเพลง จดจำคำร้อง ทำนอง ฝึกฝนร้องเพลง จนได้เป็นนักร้องลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับไปทั่วประเทศ เด็กหญิงคนนั้น คือ คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์



ตั้งแต่เด็กเราเรียนรู้ว่า สังคมชื่นชมและให้ความสำคัญกับคนเก่ง ฉลาด หรือชอบเด็กๆที่มี  IQ (Intelligence Quotion-ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา) ดี โดยดูจากการที่ได้คะแนนสอบดีๆ เด็กกลุ่มหนึ่งที่มีความบกพร่องด้านการเรียน(Learning disorder) มักถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา ไม่ฉลาด ถูกเพ่งเล็งทั้งจากครู เพื่อน พ่อแม่ กลายเป็นเด็กที่ไม่มีความสุขในชีวิต



การที่ฉันได้มีประสบการณ์เจอผู้คนหลากหลาย หลายคนเป็นเด็กที่เรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีความสุข มีปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเขาเติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับคะแนน การเรียน แต่ละเลยที่จะให้ความสำคัญกับความฉลาดอีกอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotion)

ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของตนเอง จัดการกับอารมณ์ได้ ควบคุมอารมณ์ได้ ปรับตัวกับปัญหาและความเครียดได้ดี มีมนุษยสัมพันธ์ ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี มีการศึกษาที่สนับสนุนว่า ความฉลาดทางอารมณ์มีความสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าความฉลาดทางเชาว์ปัญญาเสียอีก

...คุณว่าจริงมั้ยคะ.....



อารมณ์มีอิทธิพล มากต่อความคิด การกระทำ พฤติกรรม ช่วงที่อารมณ์ไม่ดี เบื่อ/เซ็ง โกรธ หงุดหงิด ลองสังเกตุดูนะคะ ว่าสมาธิ/ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ การให้เหตุผล ความกระตือรือร้น ของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง

จะเห็นว่าอารมณ์มีผลกระทบต่อระดับความสามารถมากเลยนะคะ ทั้งในทางบวกและลบ

....อารมณ์ดี ความคิดดี ก็อยากทำอะไรดีๆ คิดงานดีๆ พูดคุยดีๆ ตั้งใจทำงานให้ออกมาดี

....อารมณ์ไม่ดี ก็ไม่อยากทำอะไร คิดไม่ดี (ถึงมีความสามารถดี) ก็ไม่อยากทำอะไรดีๆ ออกมา

เห็นมั้ยคะว่าความฉลาดทางอารมณ์ มีอิทธิพลกับคุณไม่น้อยไปกว่าความฉลาดด้านเชาว์ปัญญาเลย


เด็กๆที่มาพบฉัน ด้วยปัญหาความบกพร่องด้านการเรียน ฉันมักแนะนำคุณพ่อ คุณแม่เสมอ ว่า

“ทำให้ลูกมีความสุข มีความภูมิใจในชีวิตก่อน เมื่อเด็กมีความมั่นใจในตัวเองแล้ว เขาก็จะมีความพยายามในการเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม) ” 

ดังนั้นฉันมักจะแนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ค้นหาด้านดีๆในตัวลูก เช่น เด็กบางคนมีทักษะทางด้านกีฬา ทำงานศิลปะ ร้องเพลง เต้น เล่นดนตรี หรือบางคนอาจมีความจำดี ถึงแม้จะอ่านไม่ได้แต่เวลาอ่านให้ฟังครั้งเดียวก็จำได้ทันที พอเด็กๆเริ่มเรียนรู้ว่าเขาเองก็เป็นคนเก่งนะ(ความเก่งไม่ได้จำกัดแค่คะแนนสอบ บางวิชาเท่านั้น) เขาจะพัฒนาความมั่นใจในตัวเอง มีความสุขกับตัวเองได้มากขึ้น ให้คุณพ่อคุณแม่ฝึกชื่นชมกับความพยายามของลูกมากกว่าผลคะแนน พอเด็กมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น การเรียนรู้ด้านอื่นๆก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป



มาสร้าง EQ กันเถอะ

1.การเพิ่มความตระหนักรู้ตนเอง( Self -awareness)
  • ฝึกมีสติรู้เท่าทัน อารมณ์ ความคิด การกระทำที่เกิดขึ้น (ตามความเป็นจริง)
  • ทำความรู้จักกับคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ก็คือ รู้จักตัวเราเอง รู้จุดดี จุดด้อย 
  • ยอมรับตัวเอง นับถือตัวเอง
2.ฝึกการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง(Managing emotion)
  • ฝึกการ รู้เท่าทันอารมณ์  ตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร โกรธ หงุดหงิด เบื่อ เซ็ง รู้สึกผิด น้อยใจ เป็นต้น และ ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น
  • ค้นหาความคิด สาเหตุ ที่ทำให้เกิดอารมณ์นั้นๆ  ฉันโกรธที่เขามาว่า ว่าฉันทำงานไม่ดี ทั้งๆที่เขาไม่เคยมาดูงานฉันจริงๆเลย ฉันตั้งใจเต็มที่
  • เปิดใจ ยอมรับความรู้สึก ความคิด มุมมองของคนอื่น ว่าอาจมีความรู้สึก ความคิด ที่ไม่เหมือนกับเรา ยืดหยุ่นกับสถานกา์รณ์ต่างๆได้
  • คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความคิด ความรู้สึก การแสดงออกของตน และ เลือกที่จะแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม  แก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.สร้างแรงจูงใจได้ด้วยตนเอง(Self-motivation)
  • เชื่่อมันในตนเอง พัฒนาตนเองอยู่เสมอ 
  • แสวงหาโอกาส  มีเป้าหมาย มุ่งมั่น ไม่กลัวอุปสรรค/ความล้มเหลว
  • มีความรับผิดชอบ บังคับตนเองให้ทำงานจนสำเร็จได้(แม้ไม่มีใครมาควบคุม)
  • มองโลกในแง่ดี มีความหวังอยู่เสมอ
4.มีทักษะทางสังคม(Social competence)
  • เข้าใจ และ เห็นใจคนอื่น ยอมรับในความเป็นตัวตนของคนอื่น ที่มี อารมณ์ ความคิด ที่อาจแตกต่างจากเรา
  • ให้คนอื่นเป็น มีน้ำใจ เห็นใจคนเป็น
  • เป็นผู้นำ ผู้ตาม ผู้ฟัง ผู้พูด ที่ดี


“ปลาว่ายน้ำเก่งมาก แต่หากคุณตัดสินความเก่งโดยให้มันปีนต้นไม้ มันจะแก่ตายไปพร้อมกับความเชื่อที่ว่าตัวมันไม่มีอะไรดีสักอย่าง ” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 



ลูกของคุณอาจเป็นปลาตัวนั้นก็ได้นะคะ


หมายเหตุ

  • โรคความบกพร่องด้านการเรียนรู้ (Learning disorders) คือ คนที่มีภาวะบกพร่องทางด้านการอ่าน/เขียน/คำนวณ ซึ่งอาจจะทำไม่ได้เลย หรือทำได้น้อยกว่าเด็กที่อายุหรือ IQ เท่ากัน อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความบกพร่องในการทำงานของสมอง ขาดการฝึกฝน ซึ่งลักษณะที่พบนี้ถ้าได้รับการฝึกฝนมากพอก็อาจหายจากภาวะนี้ได้
  • จากงานวิจัยสรุปว่า(ศ.พญ. อุมาพร ตรังคสมบัติ)
            IQ สูงอย่างเดียว อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
            IQ ธรรมดา+ EQ สูง ประสบความสำเร็จ
            IQ สูง + EQ สูง ยิ่งประสบความสำเร็จมาก
            EQ ดี การเรียนรู้ดีขึ้น