คุณรู้ไหมว่าแต่ละวินาที..มีคนฆ่าตัวตายไปเท่าไหร่
.......องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน คิดเฉลี่ยมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ทุก 40 วินาที
คุณแน่ใจได้อย่างไร ว่าตัวคุณ หรือคนข้างตัวคุณจะไม่เป็นคนคนนั้น
......เพียงแค่กลัวว่า “ไม่อยากเป็นตราบาป ที่ต้องมาเจอจิตแพทย์”
ถ้าคุณเป็นโรคลมชักคุณอยากรักษากับหมอทั่วไป หมอกระดูก หมอผ่าตัด หรือหมออายุรกรรมประสาทโรคลมชัก
......ดังนั้นมันจึงเรื่องปกติ ถ้าจิตใจคุณไม่สบาย หมอที่จะดูแลคุณได้ดีที่สุดก็คือ จิตแพทย์
จากการศึกษาในอังกฤษ พบว่า 9 ใน 10 ของผู้ป่วยจิตเวชไปพบแพทย์ทั่วไป และความกลัวในตราบาปของโรคจิตเวชก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าไปพบจิตแพทย์
เมื่อมีคนแนะนำให้มาพบจิตแพทย์ หลายคนรู้สึกอาย รู้สึกไม่ดี ปฏิเสธข้อเสนอ คำแนะนำ (คิดว่าไม่หรอกฉันยังไม่ได้เป็นมากขนาดนั้น) กลัวสังคมรอบข้างมองไม่ดี รู้สึกเหมือนเป็นตราบาปในชีวิต (ภาษาอังกฤษอาจใช้ความรู้สึกแบบนี้ว่า stigma/มลทิน,ความอัปยศ) ซึ่งที่จริงคำว่า ตราบาป ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า sin ซึ่งหมายถึง ความรู้สึกผิดบาป ที่ฝังอยู่ในใจ
ความรู้สึกเหล่านี้ เหมือนเป็นกำแพงขนาดยักษ์ ที่ทำให้คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตไม่กล้ามาพบจิตแพทย์
โดยมักมีความคิด ความเชื่อ(ผิดๆ )ว่า
- มีแต่คนบ้าที่จะไปหาหมอโรคจิต (จิตแพทย์)
- อาการทางจิตเวช เป็นเรื่องของ จิตใจ นิสัย สันดาน ไม่ใช่โรค แก้นิสัยไม่ดีสิ อย่าไปคิดมาก(ง่ายๆ)
- ยาจิตเวชมีแต่กดประสาท กินแล้วง่วง กินแล้ว โง่ กินมากๆ เดี่ยวก็ติดยาหรอก
- มีแต่คนอ่อนแอ เท่านั้นที่จะไปพบจิตแพทย์
- ไปหาหมอแล้ว บอกใครว่าไปพบจิตแพทย์ โดนมองว่าน่ารังเกียจ จะโดนเราทำร้ายรึเปล่า เหมือนคนสติไม่สมประกอบ ไม่ไปดีกว่า รักษาตัวเอง
- มันไปหาจิตแพทย์แล้ว อย่าไปยุ่งกับมันมาก เดี๋ยวก็เป็นบ้าตามมันหรอก
- หาจิตแพทย์ก็เท่านั้น เดี๋ยวโดนสะกดจิตหรอก
1.จากอาการของโรคเอง
- ปัญหาพฤติกรรมบางอย่าง เช่น สกปรก เดินเร่ร่อน แต่งกาย ใช้คำพูด หรือทำท่าแปลกๆ
- ก้าวร้าวหวาดระแวง ทำร้ายคนไม่เลือกหน้า ควบคุมตัวเองไม่ได้
- แยกตัว ไม่สบตา ไม่คุยกับใคร
- อารมณ์แปรปรวน ขึ้นๆลงๆ คาดเดายาก
- แพทย์ทั่วไปหรือแม้แต่พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบางคน มีประสบการณ์ไม่ดีกับพฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช และมักขาดความรู้ ความเข้าใจที่ดีพอเกี่ยวกับการเกิดโรค อาการของโรค และการรักษา (จิตเวชเป็นเพียงแค่วิชาเล็กๆ เลยไม่ค่อยได้รับความสนใจในการเรียนมากเท่าไหร่) หลายคนยังมีความเชื่อว่าถ้ากินยาจิตเวชแล้วจะติดยา เลยแนะนำคนไข้ว่าอย่ากินยา ให้ปรับความคิด พฤติกรรมเอาเอง เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายขาดหรอก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด
- พอรู้ว่าเคยมีการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ก็คิดว่าอาการ(ทางกาย)ที่เป็น เป็นจากจิตใจ มองคนไข้ต่างจากคนไข้ทั่วไป
- เนื่องจากเชื่อว่าเป็นโรคที่เรื้อรัง รักษาไม่หาย ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง และมีผลกระทบต่อบริษัทระยะยาว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดหัวใจ การดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังแล้ว ค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยจิตเวชนั้นน้อยกว่ามาก
- ดูเป็นโรคที่ไม่มีผลการตรวจเลือด ผลเอกซเรย์ยืนยัน คนไข้อาจแกล้งป่วยเพื่อใช้ประกัน
ความเป็นจริงเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช
- มีทั้งโรคเรื้อรัง(เหมือนเบาหวาน ความดัน) และชั่วคราว (เหมือนภาวะติดเชื้อ อุบัติเหตุ ไส้ติ่งแตก)
- มีตั้งแต่ระดับเล็กน้อย(เหมือนเป็นหวัด ปวดหัว/อาจหายเองได้ ) จนถึงระดับรุนแรง (ต้องรับ รักษาในโรงพยาบาล มีผลต่อชีวิตเหมือนเป็นมะเร็ง)
- การเกิดโรคเกิดจากทั้ง ชีวภาพ ( สมองทำงานผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ การได้รับสารบางชนิด การติดเชื้อ) ร่วมกับพฤติกรรมบางอย่าง(เหมือนกับพฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มสุรา)
- การรักษาผู้ป่วย ทำเหมือนกับโรคทั่วไป คือ วินิจฉัย หาสาเหตุ รักษาที่สาเหตุ ป้องกันการเกิดโรคซ้ำ ติดตามอาการ
เวลาคุณปวด คุณเลือกที่จะกินยาแก้ปวด หรือ นั่งข่มจิตว่าไม่ปวด ดังนั้นการรักษาโดยการกินยาก็เหมือนเป็นยาแก้ปวดนั่นเอง
3.อาการบางอย่างเจ้าตัวไม่รู้ตัว เช่น เดินแก้ผ้าตามถนน หลงผิดคิดว่ามีคนมาปองร้าย อาการเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกับภาวะชักอย่างหนึ่ง(ไม่ใช่ชักเกร็ง กระตุก ที่คุ้นเคยกัน) ที่ออกมาเป็นปัญหาความคิด พฤติกรรม
ดังนั้นถ้าคุณ(เป็น)เห็นคนกำลังชักคุณอยากจะช่วยพวกเขาหรือปล่อยให้เขาเป็นอยู่แบบนั้น คนไข้ที่มีอาการเหล่านี้ก็ต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน
ดังนั้นถ้าคุณ(เป็น)เห็นคนกำลังชักคุณอยากจะช่วยพวกเขาหรือปล่อยให้เขาเป็นอยู่แบบนั้น คนไข้ที่มีอาการเหล่านี้ก็ต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน
4.มีผู้ป่วยจิตเวชเพียง 3% เท่านั้น ที่จะมีพฤติกรรมรุนแรง แต่จากสื่อต่างๆ แสดงอันตรายจากผู้ป่วยจิตเวช หรือมีข่าวอาชญากรรมที่ทำโดยผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งในความเป็นจริงมีคดีเพียงจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับคดีอาชญากรรมที่เกิดจากการกระทำของคนปกติทั่วไป
5.เนื่องจากโรคจิตเวชถูกมองเป็นตราบาปอยู่แล้ว น้อยมากที่จะแกล้งมีอาการจิตเวช ส่วนใหญ่มักแกล้งเป็นอาการทางกาย(ที่คุ้นเคย ได้รับความเห็นใจ ช่วยเหลือ )มากกว่า
สำหรับฉัน
ฉันกลับรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของพวกเขามาก ที่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้น มาพบจิตแพทย์ ฉันมักจะมีความรู้สึกดีกับพวกเขาเสมอ ฉันเชื่อว่ากว่าที่พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามความรู้สึกกลัว ความรู้สึกอาย มาได้ต้องใช้พลังใจอย่างสูง ซึ่งลึกๆแล้วมักเกิดจาก ความรักในตัวของพวกเขาเอง ที่มีความเชื่อว่าเขาต้องดีขึ้น ไม่ยอมแพ้กับอะไรไปง่ายๆ
“ ผู้ป่วยจิตเวช ไม่ใช่คนบาป ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่ดี หรือทำอะไรผิด อย่าโยนตราบาปใส่พวกเขาเลย
เปิดตัว เปิดใจ ยอมรับ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆกันเถอะค่ะ ใครจะรู้วันนึงคุณหรือคนใกล้ตัว ก็จำเป็นต้องมาพบจิตแพทย์เหมือนกัน ”
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1001
ไม่ได้คิดว่า การไปหาจิตแพทย์เป็นตราบาปเลยค่ะ
ตอบลบแต่เป็นตราบาปที่เคยโกหกจิตแพทย์ว่า เราหายดี
เพียงเพราะเราอยากเปลี่ยนหมอ ไม่กล้าบอกตรงๆ